ประวัติความเป็นมาของเศรษฐกิจพอเพียง
ระบบเศรษฐกิจพอเพียงเกิดขึ้นครั้งแรกเมื่อ วันที่ 18 กรกฏาคม 2517 โดยเริ่มต้นจากพระบรมราโชวาทในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระราชทานแก่นิสิตมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ซึ่งเน้นความสำคัญในการพัฒนาประเทศแบบสร้างพื้นฐานคือ "ความพอมีพอกิน พอใช้"
ต่อมาพระองค์มีพระราชดำรัสอีกครั้งเมื่อวันที่ 4 ธันวาคม 2517 ณ ศาลาดุสิตดาลัยเนื่องในวันเฉลิมพระชนมพรรษาทรงเน้นคำว่า "พอมีพอกิน" ดังนั้นคำว่า "เศรษฐกิจพอเพียง" จึงมาจากจุดเริ่มต้นว่า "พอมีพอกินพอใช้" นั่นเอง
ความหมายของเศรษฐกิจพอเพียง
- เศรษฐกิจพอเพียง หมายถึง ความสามารถของชุมชนเมือง รัฐ ประเทศหรือภูมภาคหนึ่งๆในการผลิตสินค้าและบริการทุกชนิดเพื่อเลี้ยงสังคมนั้นๆโดยไม่ต้องพึ่งพาปัจจัยต่างๆที่เราไม่ได้เป็นเจ้าของ
- เศรษฐกิจพอเพียง หมายถึง ความสามารถในระดับบุคคลที่ดำรงชีวิตได้อย่างไม่เดือดร้อน
- เศรษฐกิจพอเพียง หมายถึง เศรษฐกิจที่ประกอบด้วยกิจกรรม 4 อย่าง คือการผลิต การบริโภค การแลกเปลี่ยนและการจัดสรรผลตอบแทน
ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง
- เศรษฐกิจพอเพียงเป็นปรัชญาชี้ถึงแนวการดำรงอยู่และปฏิบัติตนของประชาชนในทุกระดับ
- เศรษฐกิจพอเพียงเป็นแนวนโยบายและกำหนดยุทธศาสตร์การพัฒนาแลับริหารเศรษฐกิจชองรัฐ
- เศรษฐกิจพอเพียงมีแนวดำเนินงานไปใน"ทางสายกลาง"ตามหลักพระพุทธศาสนา
แนวทางปฏิบัติตามเศรษฐกิจอเพียง
- ยึดความประหยัด ลดค่าใช้จ่ายทุกด้าน ลดค่าฟุ่มเฟือย
- ยึดถือการประกอบอาชีพด้วยความถูกต้อง สุจริต
- ละเลิกแก่งแย่งผลประโยชน์และแข่งขันทางการค้า
- ไม่หยุดนิ่งที่จะหาทางให้ชีวิตหลุดพ้นจาความทุกข์ยาก
- ปฏิบัติตนในแนวทางที่ดี ลดละสิ่งชั่วให้หมดสิ้นไป
ประโยชน์ของเศรษฐกิจพอเพียง
- ใช้เป็นแนวทางในการพัฒนาคุณภาพชีวิตของตนเองทางด้านเศรษฐกิจและสังคม
- ใช้เป็นรากฐานในการวางแผนพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ
- รัฐบาลกำหนดเป็นนโยบายและกลยุทธ์ในการพัฒนาคุณภาพชีวิตประชากร
- ทำให้เกิดการรวมกลุ่มเพื่อแก้ไขปัญหาความยากจนของชุมชนตามโครงการต่างๆ
- ให้เป็นหลักปฏิบัติในการควบคุมจิตใจม่ให้หลงระเริงไปกับสิ่งฟุ้งเฟ้อตามกระแสทุนนิยมโลก
- ส่งเสริมให้เกิดความรักสามัคคีในกลุ่มและชนชาติ
- เกิดความจงรักภักดีต่อสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
- ช่วยให้เกิดการพัฒนาประเทศชาติตามท้องถิ่นต่างๆ
- เสริมสร้างความมั่นคงของชาติได้ตามนโยบายของรัฐ
- ประยุกต์ใช้กับการประกอบอาชีพต่างๆ
เศรษฐกิจพอเพียงกับทฤษฏีใหม่
"ทฤษฏีใหม่"เป็นแนวทางหรือหลักในการบริหารจัดการที่ดินและน้เพื่อเกษตรในที่ดินขนาดเล็กให้เกิดประโยชน์สูงสุด ด้วหลักเศรษฐกิจพอเพียงพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้พระราชทานพระราชดำรินี้เพื่อเป็นการช่วยเหลือเกษตกรที่ประสบความยากลำบาก ให้สามารถผ่านช่วงวิกฤต โดยเฉพาะการขาดแคลนน้ำ
ทฤษฏีใหม่กับการพัฒนาที่ยั่งยืน
การปฏิบัติตามแนวทางทฤษฏีใหม่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมีแนวพระราชดริสรุปได้ดังนี้
ใน30%แรกคือการขุดสระกักเก็บน้ำ เพื่อให้มีน้ำใช้สมำเสมอตลอดปีโดยเก็บกักน้ำฝนในฤดูฝนและใช้เสริมการปลูกพืชในฤดูแล้งหรือระยะฝนทิ้งช่วง ตลอดจนการเลี้ยงสัตว์และพืชน้ำต่างๆ เช่น ผักบุ้ง ผักกระเฉด ฯลฯ โดยพระราชทานแนวทางการคำนวณว่า ต้องการน้ำ 1,000 ลูกบาศก์เมตรต่อการเพาะปลูก 1ไร่ โดยประมาณ
ใน30% ที่สองคือการทำนาปลูกข้าว เพื่อใช้เป็นอาหารประจำวันสำหรับครัวเรือนให้เพียงพอตลอดปีโดยไม่ตองซื้อหาในราคาแพง เป็นการลดค่าใช้จ่ายและสามารถพึ่งตนเองได้ เนื่องจากคนไทยบริโภคข้าวเป็นอาหารหลักโดยมีหลักเกณฑ์เฉลี่ยเกษตกรบริโภคข้าว คนละ 200 กิโลกรัมข้าวเปลือกต่อปีซึ่งเพียงพอต่อการบริโภคตลอดปี
ใน30% ที่สามคือการปลูกผลไม้ ไม้ยืนต้น พืชไร่ พืชผัก พืชสมุนไพร ฯลฯ อย่างผสมผสานกันและหลากหลายในพื้นที่เดียวกัน เพื่อใช้เป็นอาหารประจำวัน หากหรือจากการบริโคก็สามารถนำไปขายได้
และอีก10% ที่เหลือคือ เป็นที่อยู่อาศัย เลี้ยงสัตว์ ถนนหนทาง คันดิน โรงเรือนและสิ่งก่อสร้างอื่นๆรวมทั้งคอกเลี้ยงสัตว์ เรือนเพาะช ฉางเก็บผลิตผลการเกษตร ฯลฯ
ทฤษฏีใหม่ขั้นที่สอง:ขั้นดำเนินการ มีดังนี้
ระบบเศรษฐกิจพอเพียงเกิดขึ้นครั้งแรกเมื่อ วันที่ 18 กรกฏาคม 2517 โดยเริ่มต้นจากพระบรมราโชวาทในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระราชทานแก่นิสิตมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ซึ่งเน้นความสำคัญในการพัฒนาประเทศแบบสร้างพื้นฐานคือ "ความพอมีพอกิน พอใช้"
ต่อมาพระองค์มีพระราชดำรัสอีกครั้งเมื่อวันที่ 4 ธันวาคม 2517 ณ ศาลาดุสิตดาลัยเนื่องในวันเฉลิมพระชนมพรรษาทรงเน้นคำว่า "พอมีพอกิน" ดังนั้นคำว่า "เศรษฐกิจพอเพียง" จึงมาจากจุดเริ่มต้นว่า "พอมีพอกินพอใช้" นั่นเอง
ความหมายของเศรษฐกิจพอเพียง
- เศรษฐกิจพอเพียง หมายถึง ความสามารถของชุมชนเมือง รัฐ ประเทศหรือภูมภาคหนึ่งๆในการผลิตสินค้าและบริการทุกชนิดเพื่อเลี้ยงสังคมนั้นๆโดยไม่ต้องพึ่งพาปัจจัยต่างๆที่เราไม่ได้เป็นเจ้าของ
- เศรษฐกิจพอเพียง หมายถึง ความสามารถในระดับบุคคลที่ดำรงชีวิตได้อย่างไม่เดือดร้อน
- เศรษฐกิจพอเพียง หมายถึง เศรษฐกิจที่ประกอบด้วยกิจกรรม 4 อย่าง คือการผลิต การบริโภค การแลกเปลี่ยนและการจัดสรรผลตอบแทน
ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง
- เศรษฐกิจพอเพียงเป็นปรัชญาชี้ถึงแนวการดำรงอยู่และปฏิบัติตนของประชาชนในทุกระดับ
- เศรษฐกิจพอเพียงเป็นแนวนโยบายและกำหนดยุทธศาสตร์การพัฒนาแลับริหารเศรษฐกิจชองรัฐ
- เศรษฐกิจพอเพียงมีแนวดำเนินงานไปใน"ทางสายกลาง"ตามหลักพระพุทธศาสนา
แนวทางปฏิบัติตามเศรษฐกิจอเพียง
- ยึดความประหยัด ลดค่าใช้จ่ายทุกด้าน ลดค่าฟุ่มเฟือย
- ยึดถือการประกอบอาชีพด้วยความถูกต้อง สุจริต
- ละเลิกแก่งแย่งผลประโยชน์และแข่งขันทางการค้า
- ไม่หยุดนิ่งที่จะหาทางให้ชีวิตหลุดพ้นจาความทุกข์ยาก
- ปฏิบัติตนในแนวทางที่ดี ลดละสิ่งชั่วให้หมดสิ้นไป
ประโยชน์ของเศรษฐกิจพอเพียง
- ใช้เป็นแนวทางในการพัฒนาคุณภาพชีวิตของตนเองทางด้านเศรษฐกิจและสังคม
- ใช้เป็นรากฐานในการวางแผนพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ
- รัฐบาลกำหนดเป็นนโยบายและกลยุทธ์ในการพัฒนาคุณภาพชีวิตประชากร
- ทำให้เกิดการรวมกลุ่มเพื่อแก้ไขปัญหาความยากจนของชุมชนตามโครงการต่างๆ
- ให้เป็นหลักปฏิบัติในการควบคุมจิตใจม่ให้หลงระเริงไปกับสิ่งฟุ้งเฟ้อตามกระแสทุนนิยมโลก
- ส่งเสริมให้เกิดความรักสามัคคีในกลุ่มและชนชาติ
- เกิดความจงรักภักดีต่อสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
- ช่วยให้เกิดการพัฒนาประเทศชาติตามท้องถิ่นต่างๆ
- เสริมสร้างความมั่นคงของชาติได้ตามนโยบายของรัฐ
- ประยุกต์ใช้กับการประกอบอาชีพต่างๆ
เศรษฐกิจพอเพียงกับทฤษฏีใหม่
"ทฤษฏีใหม่"เป็นแนวทางหรือหลักในการบริหารจัดการที่ดินและน้เพื่อเกษตรในที่ดินขนาดเล็กให้เกิดประโยชน์สูงสุด ด้วหลักเศรษฐกิจพอเพียงพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้พระราชทานพระราชดำรินี้เพื่อเป็นการช่วยเหลือเกษตกรที่ประสบความยากลำบาก ให้สามารถผ่านช่วงวิกฤต โดยเฉพาะการขาดแคลนน้ำ
ทฤษฏีใหม่กับการพัฒนาที่ยั่งยืน
การปฏิบัติตามแนวทางทฤษฏีใหม่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมีแนวพระราชดริสรุปได้ดังนี้
- เกษตรกรที่เป็นเจ้าของที่ดินอย่างน้อย ประมาณ 15 ไร่ ซึ่งเป็นที่ถือครองโดยเฉลี่ยของเกษตกรโดยทั่วๆไป
- ให้เกษตกรมีความพอเพียงโดยเลี้ยงตัวเองได้ในระดับที่ประหยัดก่อน ทั้งนี้ต้องมีความสามัคคีกันในท้องถิ่น
- มีข้าวบริโภคเพียงพอประจำปี โดยถือว่าครอบครัวหนึ่งทำนา 5 ไร่ จะมีข้าวพอกินตลอดปี
- เพื่อการนี้จะต้องใช้หลักเกณฑ์เฉลี่ยที่ว่าต้องมีน้ำใช้ระหว่างช่วงฤดูแล้ง 1,000 ลูกบาศก์เมตรต่อ 1 ไร่
- การผลิต ให้พึ่งตนเองด้วยวิธีง่ายๆค่อยเป็นค่อยไปตามกลังให้พอมีพอกิน
- การรวมพลังกันในรูปแบบหรือสหกรณ์ ร่วมแรงร่วมใจกันในด้านการผลิต การตลาด ความเป็นอยู่ สวัสดิการ การศึกษา สังคมและศาสนา
- การดำเนินธุรกิจโดยติดต่อ ประสานงาน จัดหาทุนหรือแหล่งเงิน
ใน30%แรกคือการขุดสระกักเก็บน้ำ เพื่อให้มีน้ำใช้สมำเสมอตลอดปีโดยเก็บกักน้ำฝนในฤดูฝนและใช้เสริมการปลูกพืชในฤดูแล้งหรือระยะฝนทิ้งช่วง ตลอดจนการเลี้ยงสัตว์และพืชน้ำต่างๆ เช่น ผักบุ้ง ผักกระเฉด ฯลฯ โดยพระราชทานแนวทางการคำนวณว่า ต้องการน้ำ 1,000 ลูกบาศก์เมตรต่อการเพาะปลูก 1ไร่ โดยประมาณ
ใน30% ที่สามคือการปลูกผลไม้ ไม้ยืนต้น พืชไร่ พืชผัก พืชสมุนไพร ฯลฯ อย่างผสมผสานกันและหลากหลายในพื้นที่เดียวกัน เพื่อใช้เป็นอาหารประจำวัน หากหรือจากการบริโคก็สามารถนำไปขายได้
และอีก10% ที่เหลือคือ เป็นที่อยู่อาศัย เลี้ยงสัตว์ ถนนหนทาง คันดิน โรงเรือนและสิ่งก่อสร้างอื่นๆรวมทั้งคอกเลี้ยงสัตว์ เรือนเพาะช ฉางเก็บผลิตผลการเกษตร ฯลฯ
ทฤษฏีใหม่ขั้นที่สอง:ขั้นดำเนินการ มีดังนี้
- การผลิต (พันธุ์พืช เตรียมดิน ชลประทาน ฯลฯ ) เกษตกรจะต้องร่วมมือในการผลิต โดยเริ่มตั้งแต่ขั้นเตรียมดิน การหาพันธุ์พืช ปุ๋ย การจัดการน้ำ และอื่นๆ
- การตลาด (ลานตกข้าว ยุ้ง เครื่องสีข้าว การจำหน่ายการผลิต) เมื่อมีผลผลิตแล้วจะต้องเตรียมการต่างๆ เพื่อการขายผลผลิตให้ได้ประโยชน์สูงสุด
- การเป็นอยู่ (อาหาร เครื่องนุ่งห่ม ฯลฯ) ในขณะเดียวกันเกษตกรต้องมีความเป็นอยู่ที่ดีพอสมควร โดยมีัจจัยพื้นฐานในการดำรงชีวิต
- สวัสดิการ (สาธารณสุข เงินกู้) ในแต่ละชุมชนมรสวัสดิิการและบริการที่จำเป็น
- การศึกษา (โรงเรียน ทุนการศึกษา) ชุมชนควรมีบทบาทในการส่งเสริม เช่น มีกองทุนเพื่อการศึกษาเล่าเรียนให้แก่เยาวชนของชุมชน
- สังคมและศาสนา (ชุมชน วัด) ชุมชนควรเป็นที่รวมในการพัฒนาสังคมและจิตใจ โดยมีศาสนาเป็นที่ยึดเหนี่ยวกิจกรรมทั้งหมดดังกล่าวข้างต้น
ทฤษฏีใหม่ขั้นที่สาม:ขั้นก้าวหน้า
การร่วมมือกับแหล่งเงิน(ธนาคารและแหล่งพลังงาน)
เมื่อกิจการขั้นที่1และขั้นที่ 2 เจริญเติบโตเกษตรกรจะมีรายได้ดีขึ้น ฐานะมั่นคงขึ้น เกษตกรควรพัฒนา ก้าวหน้าไปสู่ขั้นที่ 3 คือต้องร่วมมือกับแห่งเงินทุน(ธนาคาร) แหล่งพลังงาน(บริษัทน้ำมัน)และบริการโรงสีหรือบริษัทห้างร้านเอกชนมาช่วยพัฒนางานให้เจริญก้าวหน้า ทั้งฝ่ายเกษตกรและฝ่ายธนาคารบริษัทเอกชนจะได้รับประโยชน์ร่วมกันคือ
- เกษตกรขายข้าวได้ราคาสูง(ไม่ถูกกดราคา)
- ธนาคารหรือบริษัทเอกชนสามารถซื้อข้าวบริโภคราคาต่ำ(ซื้อข้าวเปลือกตรงจากเกษตกรและมาสีเอง)
- เกษตกรซื้อเครื่องอุปโภคบริโภคราคาต่ำ เนื่องจากรวมกันซื้อเ็ป็นจำนวนมาก(เป็นร้านสหกรณ์ราคาขายส่ง)
- ธนาคารหรือบริษัทเอกชนจะสามารถกระจายบุคลากรเพื่อไปดำเนินการในกิจกรรมต่างๆให้เกิดผลดียิ่งขึ้น
โครงการตัวอย่างเศรษฐกิจ ในพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช
โครงการตัวอย่างเศรษฐกิจ ในพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช
ไม่มีความคิดเห็น :
แสดงความคิดเห็น
* แนะนำ ดูเวอร์ชันสำหรับเว็บ คลิกด้านล่าง