ครั้งหนึ่งนิตยสารชื่อดังระดับโลกอย่าง TIME เคยนำภาพไอโฟนรุ่นแรกขึ้นปก พร้อมโปรยคำยกยอว่า "สิ่งประดิษฐ์ที่ยอดเยี่ยมที่สุดแห่งปี" เลยก็ว่าได้ เนื่องจากมีความโดดเด่นมากกว่าแก็ดเจ็ตผลิดภัณฑ์อื่นที่เปิดตัวมาภายในปีเดียวกัน เช่น กล้องดิจัทัล Nikon Coolpix S51c, โทรศัพท์รองรับการเชื่อมต่อ Wi-Fi อย่าง Netgear SPH200W และเครื่องเล่นเพลง Samsung P2 เพราะฟีเจอร์เด่นที่ผลิตภัณฑ์ข้างต้นทำได้ iPhone สามารถมัดรวมให้มาอยู่ในเครื่องเดียวได้หมดแล้ว
TIME เองก็บรรยายความประทับใจลงบนเว็บไซต์เมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายน ปี 2007 ถึงเหตุผลที่ทำให้ iPhone ในช่วงเวลานั้นสามารถก้าวขึ้นมาเป็นหนึ่งในผลิตภัณฑ์ที่สุดยอดที่สุดประจำปี แต่จะเนื่องด้วยปัจจัยอะไรบ้างนั้น เราลองไปติดตามพร้อมๆ กันดีกว่าครับ
1. รูปลักษณ์อันสวยงาม
บริษัทไฮเทคส่วนมากไม่ค่อยให้ความสนใจกับดีไซน์เท่าไหร่นัก ซึ่งมักจะเป็นสิ่งท้ายๆ ที่ถูกนึกถึงอยู่เสมอ แต่สิ่งหนึ่งในความเข้าใจของ Steve Jobs เกี่ยวกับเทคโนโลยีนั้น คือ ดีไซน์ที่ดีมีความสำคัญพอๆ กับเทคโนโลยีที่ยอดเยี่ยม ทุกฟีเจอร์เจ๋งๆ ที่ปรากฏขึ้นโดยรอบบนโลกใบนี้คงไม่สร้างประโยชน์อะไรให้แก่คุณได้แน่ หากไม่ทราบว่าฟีเจอร์เหล่านั้นมันใช้งานอย่างไร รวมทั้งมันต้องมีความดึงดูดขณะใช้ด้วย
แต่ดูเหมือนว่าไอโฟนจะสามารถดึงจุดๆ นี้ขึ้นมาได้ ยกตัวอย่างเช่น ขณะเปิดใช้งาน Airplane mode ก็จะปรากฏโลโกเครื่องบินสีส้มรูปเล็กๆ อันแสนน่ารักบนแถบ menu bar ซึ่งนับว่าเป็นสิ่งที่ทำให้ไอโฟนพร้อมใช้งานได้จริงในยุคสมัยที่มีแต่แก็ดเจ็ตที่มักจะเปล่าประโยชน์ไปซักนิด แต่ไอโฟนกลับสื่อสารในภาษาเดียวกับเราอยู่ ซึ่งในโลกแห่งเทคโนโลยีหน้าต่างแสดงผลยังคงเป็นอะไรที่ลึกซึ้งเป็นอย่างมาก
2. ระบบสัมผัสที่ใช้งานได้จริง
แอปเปิลไม่ได้เป็นผู้คิดค้นระบบทัชกรีน หรือนำมาสร้างและปรับปรุงใหม่ แต่ทางยักษ์ใหญ่แห่งวงการไอทีรายนี้รู้ดีว่าต้องทำอย่างไรกับมัน เหล่าวิศวรกรจากแอปเปิลใช้ระบบทัชสกรีนเพื่อเปลี่ยนแปลงหน้าต่างส่วนที่ติดต่อกับผู้ใช้งาน (GUI) เพื่อสร้างหน้าอินเทอร์เฟสแบบใหม่ขึ้นมาทั้งหมด จนกลายมาเป็นระบบสัมผัสที่ทำให้ผู้ใช้งานได้รับประสบการณ์การจัดการข้อมูลบนโทรศัพท์ผ่านมือทั้งสองข้างแบบแท้จริง เช่น เลื่อนปกอัลบั้มไปมาเพื่อเปลี่ยนเพลง, คลิกลิงก์บนหน้าจอ หรือแม้แต่ยืดและหดนิ้วเพื่อซูมรูปภาพเข้าออกอย่างง่ายดาย
นอกจากนี้หากลองย้อนมองดูความสำเร็จที่เกิดขึ้นกับแบรนด์ใหญ่ในขณะนั้นอย่าง Nintendo ที่เปิดตัวคอนโซล Wii ซึ่งมีจุดเด่นอยู่ที่จอยควบคุม หรือแม้แต่การที่แอปเปิลนำระบบทัชสกรีนมาผนวกเข้ากับไลน์การผลิต iPod Touch ยิ่งทำให้อดคิดไม่ได้ว่าในอนาคตเราอาจได้เห็นอะไรดีๆ iMac ที่สามารถสัมผัสหน้าจอก็เป็นได้ เพราะ "การสัมผัสคือการมองเห็นแบบใหม่"
3. เปลี่ยนแปลงให้มือถือเจ้าอื่นให้ยอดเยี่ยมขึ้น
ผู้ให้บริการด้านเครือข่ายโทรศัพท์มักจะกฏเกณฑ์สำหรับบริษัทผลิตมือถือ เกี่ยวกับสิ่งที่พวกเขาสามารถทำได้หรือทำไม่ได้บนโทรศัพท์ ทำให้อาจยังไม่เห็นอะไรโดดเด่นในช่วงเวลานั้น แต่สิ่งหนึ่งที่ทำให้ไอโฟนแตกต่างออกไปคือการที่ Steve Jobs เข้าไปเจรจากับ AT&T ผู้ให้บริการในสหรัฐฯ ให้ทำการวางจำหน่าย iPhone รวมทั้งทาง AT&T เองยังให้อิสระแก่แอปเปิลเพื่อสร้างโทรศัพท์ตามสเปกที่ต้องการ ทำให้ผู้ผลิตโทรศัพท์รายอื่นต่างจับตามอง และพยายามที่จะเรียกร้องในอิสรภาพด้วยเช่นกัน ซึ่งจะทำให้มือถือที่ลงสู่ท้องตลาดในรุ่นต่อๆ ไปจะมีความยอดเยี่ยมขึ้น รวมทั้งมีนวัตกรรมใหม่ๆ ผุดขึ้นมาให้ชาวโลกได้ใช้งานในอนาคตนั่นเอง
4. ไม่ใช่แค่โทรศัพท์ แต่ไอโฟนคือแพลตฟอร์ม
ไอโฟนไม่ได้มาพร้อมกับเฟิร์มแวร์ที่ไร้ประสิทธิภาพแต่อย่างใด เพราะได้ย่อส่วนระบบปฏิบัติการ OS X ที่รองรับการใช้งานบนเดสท็อปคอมพิวเตอร์ ให้มาอยู่บนมือถือที่มีขนาดหน้าจอเพียง 3.5 นิ้วได้ และด้วยสิ่งนี้เองจึงทำให้ไอโฟนไม่ใช่แก็ดเจ็ดธรรมดาทั่วๆ ไป แต่มันคือคอมพิวเตอร์แบบพกพาที่หิ้วไปไหนต่อไหนได้ดีๆ นี่เอง และอาจเรียกได้เต็มปากว่าเป็นอุปกรณ์ชิ้นแรกที่สมควรได้รับตำแหน่งนี้ ในช่วงเวลาปี 2007 หนึ่งในกระแสที่มาแรงมากที่สุดคือความฝันที่จะดึงระบบต่างๆ รวมทั้งแอปพลิเคชัน ให้เกิดขึ้นจริงบนโลกใบนี้ ซึ่งในตอนนั้นเอง iPhone ได้เปิดตัวมาพร้อมกับแอปพลิเคชันบางอย่างเช่น Google Maps ที่มีความจำเป็นสำหรับใครหลายต่อหลายคน
สิ่งนี้เป็นเพียงแค่จุดเริ่มต้นเท่านั้น เพราะหลังจากนั้นไม่นานแอปเปิลตัดสินใจที่จะปล่อยให้นักพัฒนาเข้าร่วมพัฒนาซอฟท์แวร์สำหรับไอโฟน เพื่อมาเติมเต็มในสิ่งที่ขาดหายไปบนหน้าโฮมสกรีน ซึ่งหลังจากวันนั้น สิ่งที่แอปเปิลได้เบิกทางไว้ทำให้เกิดสิ่งหนึ่งในชื่อของแพลตฟอร์ม App Store ที่ปัจจุบันเพรียบพร้อมไปด้วยแอปพลิเคชันสารพัดประโยชน์ให้ดาวน์โหลดกว่า 2 ล้านแอปเป็นที่เรียบร้อย
5. โอกาสพัฒนาที่ไม่มีที่สิ้นสุด
ในขณะที่ Lev Grossman เขียนบทความเกี่ยวกับเรื่องนี้อยู่ ไอโฟนรุ่นแรกสามารถทำยอดขายได้ประมาณ 1.4 ล้านเครื่องไปเป็นที่เรียบร้อย และด้วยแพลตตฟอร์มที่แอปเปิลเปิดให้ร่วมพัฒนา การอัปเดตที่ไม่รู้จักจบสิ้น และอินเทอร์เฟสที่เพรียบพร้อมไปด้วยซอฟท์แวร์ ทุกสิ่งเหล่านี้ส่งผลให้ไอโฟนเป็นสิ่งที่มี "วิวัฒนาการ"
หากลองย้อนกลับไปดูผลิตภัณฑ์ที่ถูกแอปเปิลพัฒนาแบบต่อเนื่องอย่าง iPod ที่เปิดตัวไปเมื่อปี 2001 ซึ่งในขณะนั้นหน้าจอแสดงผลยังอยู่ในรูปแบบขาวดำ แถมปุ่ม touch wheel ยังกะท่อนกะแท่น ก่อนที่ถูกจะปรับปรุงมาเรื่อยๆ จนมีหน้าจอหลากสีและปุ่มควบคุมดีกว่าเดิม และหากสิ่งนั้นเกิดขึ้นบ้างกับไลน์การผลิตโทรศัพท์ที่มี iPhone รุ่นแรกเป็นตัวบุกเบิกแล้ว ผู้เขียนลงความเห็นเอาไว้ว่า ภายในเวลาอีกไม่กี่ปีเราคงได้เห็นอะไรเจ๋งๆ บนไอโฟนแถมน่าจะมีราคาที่ปรับตัวลงมากกว่าเดิมด้วย
นับย้อนมาถึงเวลานี้ก็ผ่านมาได้ 9 ปีแล้วนับตั้งแต่สิ่งประดิษฐ์ที่เรียกว่า iPhone เผยโฉมสู่สายตาชาวโลกเป็นครั้งแรก หนึ่งสิ่งที่นักเขียนจาก TIME วิเคราะห์เอาไว้ได้ถูกต้องและเกิดขึ้นจริง คือฟีเจอร์ใหม่ๆ ที่เพิ่มเข้ามา ไม่ว่าจะเป็น ระบบ Touch ID, หน้าจอแสดงผล Retina ที่สว่างและคมชัดขึ้น รวมไปถึง Siri ผู้ช่วยอัจฉริยะ ซึ่งดูๆ ไปก็น่าคิดไม่ใช่น้อยว่า ภายในอีกระยะเวลาหลายปีข้างหน้า แอปเปิลจะสร้างสรรค์นวัตกรรมแปลกใหม่ชิ้นใดให้เกิดขึ้นบน iPhone รุ่นต่อๆ ไป ซึ่งมีผู้ชมจากทั่วโลกต่างเฝ้ารอการมาถึงอยู่
ไม่มีความคิดเห็น :
แสดงความคิดเห็น
* แนะนำ ดูเวอร์ชันสำหรับเว็บ คลิกด้านล่าง